22 เมษายน 2015
เดรสเดนเป็นอีกเมืองในยุโรป ที่ฉันคิดว่าจะต้องมาเยือนสักครั้งให้ได้
เมื่อปีที่แล้ว ฉันนั่งรถบัสและรถไฟผ่านขณะเดินทางไปเชค ภาพอาทิตย์อัสดงที่นี่ยังตราตรึงอยู่ในใจของฉันอย่างเหนียวแน่น
(ขาไป Auf dem Weg nach Tschechien ขากลับ Mit der Bahn zurück)
และปีนี้ฉันกลับมาเบอร์ลินพร้อมกับความตั้งใจว่าจะมาเยือนเดรสเดนอย่างเต็มรูปแบบให้ได้
ก่อนอื่น เล่าถึงความสำคัญของเดรสเดนก่อนค่ะ
เดรสเดนนอกจากเป็นเมืองหลวงของรัฐ Sachsen (Saxony) แล้ว ยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกเมืองหนึ่งของเยอรมนีมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์บาโรคและร็อคโคโคที่สร้างสรรค์ไว้มานานเกือบศตวรรษทำให้ที่นี่เคยเป็นศูนย์รวมของศิลปะวัฒนธรรมที่งดงาม รวมถึงศูนย์กลางการศึกษาและเศรษฐกิจด้วยค่ะ
ความเจ๋งของเดรสเดนไม่ใช่แค่ความเจริญรุ่งเรืองในอดีตเท่านั้นค่ะ
เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่เดินทางผ่านเดรสเดน น้อง M เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาและอังกฤษระเบิดโจมตีเดรสเดนไม่เหลือ แต่ชาวเดรสเดนใจเด็ดมาก รวบรวมซากอิฐทีแต่ละก้อนมาคัดแยก ทำเครื่องหมายไว้เลยว่าก้อนไหนของบริเวณไหน แยกเป็นหมวดหมู่แล้วนำซากเหล่านี้ไปบูรณะคืนสู่สภาพเดิม
แน่นอนว่าไม่เดิม 100% หรอกค่ะ มีส่วนที่ใช้อิฐใหม่ด้วย ทำให้อาคารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเดรสเดนดูกระดำกระด่าง บริเวณขาวๆ คืออิฐใหม่ ส่วนที่ดำๆ นั้นเป็นชิ้นส่วนเก่าที่หลงเหลือหลังจากถูกระเบิดนั่นเองค่ะ แต่ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองนี้ไปแล้ว เรียกว่ากว่าจะกลับคืนสู่สภาพปัจจุบันได้ ต้องอาศัยความพยายามและความอดทนมากมายจนจินตนาการไม่ออกเลยทีเดียว
ประเทศที่แพ้สงครามมีจิตวิญญาณที่น่าหลงใหลฉะนี้เอง #โมเอ้มากๆ
นี่แหละที่เป็นมนต์ขลังทำให้ฉันตั้งมั่นว่าต้องมาเยือนที่นี่ให้ได้
เดรสเดนเคยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยยูเนสโกด้วยนะคะ แต่เนื่องจากดันไปสร้างสะพาน Waldschlößchenbrücke ข้ามแม่น้ำ Elbe ทำให้เดรสเดนอยู่ในรายชื่อพื้นที่อันตราย และถูกถอดออกจากการเป็นมรดกโลกไปอย่างน่าเสียดาย (ถ้าดูในแผนที่เหมือนจะอยู่ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวนะคะ แต่จริงๆ แล้วเขตที่เป็นมรดกโลกของเดรสเดนครอบคุลมความยาวแม่น้ำถึง 20 กิโลเมตร)
และเป็นแค่ 1 ใน 2 ของมรดกโลกที่ถูกถอดชื่อออกไปด้วยนะคะ (อีกที่คือ Arabian Oryx Sanctuary) เป็นเรื่องน่าเศร้าของประเทศเยอรมนีก็ว่าได้เลยล่ะ