11 พ.ค. 2014
ออกไปโซโลเที่ยวไลป์ซิก
เมื่อดูเวลาเดินทางแล้ว นั่งรถบัสจากเบอร์ลินประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ถ้าไป-กลับก็เกือบ 4 ชั่วโมง
ด้วยความงกเวลาเที่ยว จึงตัดสินใจว่าไปวันเสาร์-อาทิตย์ดีกว่า เพราะวันธรรมดามีเรียนตอน 6 โมงเย็น
แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า เสาร์-อาทิตย์ถูกจองด้วยทัวร์เชค โปแลนด์ และเดนมาร์คไปหมดแล้ว วันนี้จึงเป็นวันอาทิตย์สุดท้ายที่ไม่มีโปรแกรม
ด้วยความช่วยเหลือของน้อง M จึงได้ตั๋วรถบัสราคาราว 30 ยูโร ไปกลับไลป์ซิก พร้อมกับคำแนะนำการเที่ยว เพราะน้อง M เคยเรียนอยู่ที่นั่น 1 เดือน
วันนั้นอากาศดีมาก เย็นสบายเกือบหนาว ท้องฟ้าสดใสแม้มีเมฆมาก
ตอนเช้าขึ้นรถบัสที่ ZOB
เมื่อถึงไลป์ซิก รถบัสจอดที่ Goethestraße ซึ่งไม่ไกลจากบริเวณหน้าสถานีไลป์ซิก
สถานีใหญ่มาก ด้านในเป็นห้างสรรพสินค้า แต่ฉันไม่มีอารมณ์จะเดินช็อปปิ้งหรอกนะ รีบบึ่งไปยัง Zentrum (ศูนย์กลางของเมือง) ทันที
ทริปนี้ เดินตลอดเส้นทาง
โดยภาพรวมของ Zentrum ของไลป์ซิก ดูเป็นเมืองเล็กๆ (ขนาดเดินได้ทั่ว) มีสถาปัตยกรรมเก่าใหม่สลับกันไป แต่อันที่จริงเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ทั้งภาคเศรษฐกิจและการเมืองของเยอรมนีอยู่ไม่น้อย
แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุดึงดูดใจให้ฉันมาที่นี่หรอกนะ
ฉันมาตามรอยเท้าสามีต่างหาก 555
เพราะไลป์ซิกเป็นบ้านเกิดของน้องบิล Bill Kaulitz นักร้องนำวง Tokio Hotel (แน่นอนว่า Tom ด้วย ก็ฝาแฝดกันนี่นา) และปีที่แฝด Kaulitz เกิด (ค.ศ. 1989) ก็เป็นปีที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวของชาวไลป์ซิก เพื่อต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ และเรียกร้องประชาธิปไตยให้แก่เยอรมนีฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอวสานกำแพงเบอร์ลินภายในปีเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วภายในปีเดียว ย่อมมาพร้อมกับความรุนแรงอย่างช่วยไม่ได้
คนโง่ประวัติศาสตร์อย่างฉัน เริ่มหลงเสน่ห์ประวัติศาสตร์ของชนชาติเยอรมัน เพราะเหมือนได้เห็นความเป็นเยอรมันที่สะท้อนออกมาจากชาวเยอรมันได้ชัดเจนขึ้น… ประวัติศาสตร์เยอรมันดำเนินอย่างตรงไปตรงมามาก แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยดรามามาก มีเสน่ห์มาก ฉันไม่ตัดสินว่าอะไรถูกหรือผิด ชอบหรือไม่ชอบหรอกนะ เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่ประเทศตัวเอง แต่การรู้เรื่องราวของเขาทำให้ฉันรักและเข้าใจคนเยอรมันมากขึ้นในระหว่างที่อยู่ในเบอร์ลิน
กระนั้น ฉันก็ยังโง่ประวัติศาสตร์อยู่ดี ^^;
กระนั้น ฉันก็ยังเผลอน้ำตาไหลเวลากินขนมปังแห้งๆ แข็งๆ เย็นๆ เป็นมื้อหลักอยู่ดี T___T
และมันก็น่าละอายนัก ที่จำเศษเสี้ยวประวัติศาสตร์ได้เพียงเพราะปีเกิดของสามีล้วนๆ 555
แต่ถ้าดูอุปนิสัยและชีวิตของแฝด Kaulitz แล้ว ก็สมกับเป็นมนุษย์ที่เกิดในไลป์ซิกจริงๆ
เพราะอย่างนี้แหละ… รักตายเลย
ในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ไปจนถึงบั้นปลายชีวิตของขุ่นพ่อบาค ชีวิตของท่านอยู่ที่ไลปซิกแห่งนี้ โดยท่านได้มาเป็นผู้อำนวยการเพลงให้แก่ Thomaskirche หรือโบสถ์นักบุญโธมัสแห่งนี้ ท่านได้ประพันธ์บทเพลงให้โบสถ์ รวมถึงจัดการแสดงต่างๆ ที่มีคนใหญ่คนโตเข้าชมมากมายในไลป์ซิก รวมถึงเป็นสอนวิชาดนตรีในโรงเรียนด้วย ก่อนท่านเสียชีวิต ท่านมีปัญหาสุขภาพและเรื่องตา ได้ทำการผ่าตัดดวงตาแต่ล้มเหลว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ตรงกันข้ามกับทางเข้าโบสถ์ที่มีรูปปั้นขุ่นพ่อบาค เป็นที่ตั้งของ Bach Museum หรือพิพิธภัณฑ์บาค
เนื่องจากตระกูลของขุ่นพ่อบาคเป็นตระกูลนักดนตรีในราชสำนักมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ดังนั้น 1 ใน 4 ของเนื้อหาที่มีในพิพิธภัณฑ์ จึงเป็นเรื่องของแฟมิลีทรีของขุ่นพ่อ
เยี่ยมขุ่นพ่อบาคเสร็จ ก็หาที่นั่งเปิบข้าวกลางวัน เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์และต้องการประหยัด ฉันจึงทำข้าวกล่องมา อย่ากระนั้นเลย… เดินมาด้านหน้าโบสถ์ ปิคนิคอย่างเดียวดายกับขุ่นพ่อก็ได้จ้า
หลังจากกินเสร็จ วันนั้นมีผู้ชายผิวสีแต่งตัวดีคนหนึ่งเดินเข้ามายืนตรงหน้า แล้วพยายามคุยภาษาอังกฤษกับฉัน ถามฉันว่า “ขอเวลาคุยด้วยซัก 5 นาทีได้มั้ย” ฉันกลัวมาก เพราะตรงนั้นไม่มีใคร เลยตอบว่า “ไม่” แล้วเผ่นออกมา
ผลงานของ Felix Mendelssohn Bartholdy ที่คนนอกวงการดนตรีคลาสสิคอย่างเราๆ (หรือฉันคนเดียว) คุ้นหูก็คือ Wedding March ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่อง Midsummer Night’s Dream
อ๊ะๆ… พอบอกว่า Wedding March กำลังนึกถึงอีกเพลงใช่มั้ยคะ แต่น แตน แตน แตนนนนน แต่น แต๊น แต่น แตนนน (เดาออกกันมั้ยเนี่ย ถ้านึกถึงอยู่ก็คงเดาได้แหละ)
ไม่ใช่ค่ะ อันนั้นก็ Wedding March แต่เป็นของ Richard Wagner ศิลปินอีกท่านที่เกิดในไลป์ซิกเลย
ศิลปินที่มีอิทธิพลต่อดนตรีคลาสสิคมาจนถึงปัจจุบันเป็นชาวเยอรมันเยอะมาก นั่นคงเป็นสาเหตุให้ฉันลงเรียนภาษาเยอรมันสมัยที่ยังเล่นไวโอลินอยู่ล่ะมั้ง (จริงๆ ลืมไปแล้ว) อยากกลับไปเล่นไวโอลินหรืออยู่ในแวดวงเพลงคลาสสิคอีกครั้งจังเลย ไปเยอรมนีอีกทีปีหน้า การเดินทางคงสนุกกว่านี้มาก