Nächste Station, Warszawa

25 มีนาคม 2015

นั่งรถไฟไปโปแลนด์ค่ะ

แรกว่าจะไปอย่างช้าๆ ถูกๆ กล่าวคือ นั่งรถบัสชิลๆ ไป ใช้เวลา 8 ชั่วโมง แต่เมื่อสำรวจรอบรถแล้ว…

Polski Bus ตัดทิ้งโลด เนื่องจากนั่งระยะยาวมาก ขืนเอนเบาะไม่ได้อย่างคราวที่ไปกับน้อง M สงสัยต้องทรมานโดยไม่จำเป็นแน่ๆ (จริงๆ แล้วเบาะเอนได้ค่ะ แต่ที่นั่งแคบมาก ไม่มีใครเอนกัน เอนแล้วจิโดนคนข้างหลังสะกิดอย่างไม่ใคร่พอใจ)

แต่จะว่าไป ไหนๆ นั่งรถยาว 8 ชั่วโมง ขึ้นเที่ยวกลางคืนก็น่าจะดี ประหยัดเงินค่าโรงแรมด้วย เช้ามาก็เที่ยวได้เลย

ช้าก่อน… สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องขอวีซ่าเชงเกนอย่างฉัน การเอาใบจองรถบัสเที่ยวกลางคืนไปยื่นขอวีซ่าแทนใบจองโรงแรมอาจไม่เวิร์คค่ะ รู้สึกไปเองว่ามีความเสี่ยงสูงอย่างบอกไม่ถูก

ที่สำคัญ ไปถึงตอนเช้าตรู่ ยังเช็คอินไม่ได้ แล้วจะอาบน้ำอาบท่าแต่งหน้าแต่งตัวยังไง อันนี้สำคัญนะ #ซกมกไม่ว่าหน้าต้องสวยไว้ก่อน

เมื่อคิดดังนั้นก็เลยลองเช็ครถไฟดูค่ะ

รถไฟใช้เวลาเดินทางราว 5 ชั่วโมงครึ่ง  เป็นสายตรง เบอร์ลิน-วอร์ซอค่ะ Berlin-Warszawa-Express รถสายนี้เป็นรถที่โคกันระหว่าง Deutsche Bahn กับ Polish State Railways

จองแต่เนิ่นๆ ก่อนวันเดินทางราว 3 เดือน ตั๋วโปรโมชั่นตกราว 29 ยูโร (ราคาปกติ 40 กว่ายูโร) มีรอบเดินทางตอนกลางวันด้วย โอเคอยู่ค่ะ เพราะฉันชอบนั่งรถตอนกลางวันล่ะ ชมวิวนอกหน้าต่าง เพลินตาดี ก็แอบคาดหวังว่าวิวไปโปแลนด์จะสวยพอๆ กับตอนนั่งรถไฟจากปรากกลับเบอร์ลินนะคะ (แต่จริงๆ แล้วไม่เลยค่ะ ฮือๆๆๆ ก็พอได้ แต่ไม่อลังการ คนละฟีลลิงกัน)

สรุปแล้วฉันก็เดินทางด้วยรถไฟค่ะ ถึงจะแพงกว่าบัสราว 10 ยูโร (ณ วันที่จอง) แต่หลายๆ อย่างมันลงตัวกว่าค่ะ

ถึงวันเดินทางก็ลากกระเป๋าออกจากโรงแรม แล้วขึ้นรถไฟที่สถานี Zoologischer Garten เลย ไม่เสียค่ารถค่ะ เพราะฉันไม่ได้จองตั๋วรถไฟจากสถานีใหญ่ แต่ในตั๋วระบุเลยว่าขึ้นจาก S-Zoologischer Garten ท่านใดที่จองตั๋วรถไฟกับเว็บไม่ว่าจะของ DB หรือ Eurorail ถ้าจองโรงแรมพิกัดแน่ชัดแล้ว เวลาป้อนข้อมูลสถานีรถไฟในเยอรมนี ใส่ชื่อสถานี DB หรือ S-Bahn ไปได้เลยนะคะ (U-Bahn จะไม่ขึ้น เพราะเป็นรถไฟใต้ดินท้องถิ่น) นอกจากระบบจะคำนวณเส้นทางที่สั้นที่สุดให้แล้ว ยังไม่ต้องมานั่งเสีย 2.7 ยูโรเพื่อนั่ง S-Bahn ต่อรถไปสถานีใหญ่ๆ ที่รถไฟความเร็วสูงจะจอดอีกค่ะ มันไม่ได้จำเป็นต้องขึ้นที่ Hauptbahnhof เท่านั้นนะคะ พูดง่ายๆ ก็คือนอกจากซื้อตั๋วโปรโมชั่น (ราคาถูก) แล้ว ยังประหยัดค่า S-Bahn อีกเพราะรวมอยู่ในค่าตั๋วไปแล้ว ฮุๆๆๆ

สาวไทยใจกล้าหาญสังขารน้อยนิดก็ลากกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ หาบันไดเลื่อนและลิฟต์แบบจ้าละหวั่นเพื่อทำเวลาขึ้นชานชาลาได้ทันค่ะ

สารภาพว่า ก่อนมาและเมื่อมาถึงทำตัวเลวมากค่ะ อัพสเตตัสกันท่าเพื่อนฝูงที่จะฝากซื้อของทุกวิถีทาง เพราะฉันมั่นใจอย่างมหาศาลว่า… ชะตากรรมการแบกกระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่ขึ้นบันไดลงบันไดแต่เพียงผู้เดียวมันต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ

ไม่ใช่ว่าสถานีต่างๆ ไม่มีลิฟต์หรือบันไดเลื่อนนะคะ แต่เจ็บแล้วต้องจำค่ะ… เคยเจอที่ลิฟต์เสีย แล้วไม่มีบันไดเลื่อน และมีเวลาในการเปลี่ยนชานชาลาเพียงแค่ 3 นาที คุณพระคุณเจ้า… เกือบตกรถเพราะขนกระเป๋า ถ้าเราหนักเพราะแบกสัมภาระของชาวบ้าน เมื่อตกรถไปแล้ว ใครเล่าจะมารับผิดชอบกับการเดินทางของเราล่ะคะ ดังนั้น ขอใจดำไว้ก่อนค่ะ ถึงวอร์ซอแล้วค่อยว่ากัน เพราะตอนนั้นรอดแล้ว 555

จริงๆ ต้องบอกว่า ที่กระเป๋าหนักนี่ เพราะแบกของฝากไปให้ผู้ชายที่วอร์ซอด้วยแหละค่ะ แต่ไม่เป็นไร เพราะที่มาวอร์ซอก็เพราะมาเจอผู้ชายนี่แหละ ภารกิจหลักเลย

ด่านแรก… ลงเปลี่ยนรถจาก S-Bahn เป็น Berlin-Warszawa-Express ที่สถานี Ostbahnhof ค่ะ

หลังจากลงรถ ก็มองซ้ายมองขวา หาลิฟต์หรือบันไดเลื่อนค่ะ

แต่หาไม่เจอ มีเวลาเปลี่ยนรถแค่ 7 นาทีเท่านั้น เลยตัดสินใจ ฮึบ! ลงบันได้ก็ได้

ทันใดนั้น มีคุณลุงคนหนึ่งเดินเข้ามาพ่นภาษาเยอรมันใส่จากด้านหลังค่ะ

ลุงพูดอะไร ฟังไม่รู้เรื่องเลย

หันกลับไปมองลุงเพราะรู้สึกแน่ใจว่าลุงเสวนากับเราชัวร์ แอบตกใจค่ะ

ลุงแต่งกายซอมซ่อมากค่ะ เนื้อตัวไม่ใคร่สะอาดสะอ้านนัก แอบมอมแมมด้วยซ้ำ และที่ลุงพูดไม่ชัดเพราะฟันหน้าของลุงผุ ไม่สมบูรณ์ในการออกเสียง

ด้วยสัญชาตญาณ ฉันระแวงไว้ก่อนค่ะ

แต่ลุงก็ยังพยายามพูดกับฉันอยู่ บอกเลย ไม่รู้ภาษาค่ะ แต่ลุงชี้โบ้ชี้เบ้ไปยังสุดปลายชานชาลา แล้วได้ยินศัพท์คุ้นๆ อยู่บ้าง ก่อนชี้มาที่กระเป๋าเดินทางของฉัน

ฉันเข้าใจว่าลุงกำลังจะบอกว่า ตรงนั้นมีลิฟต์หรือบันไดเลื่อนซักอย่าง ไปใช้สิ เดินแบกของทำไม

ฉันเลยรีบขอบคุณลุงอย่างงงๆ แล้วลากกระเป๋าไป

กรี๊ดดดด มีลิฟต์อยู่จริงๆ ด้วย แหม… เอาซะสุดชานชาลาเลยนะเธอว์ มิน่าเล่า ขนาดมองหายังมองไม่เห็น

ขณะลงลิฟต์ อยากกลับไปขอบคุณคุณลุงคนนั้นให้ดีกว่านี้จริงๆ ค่ะ ไม่รู้ว่าฉันเผลอส่งสายตาเสียมารยาทด้วยความระแวงในภาพลักษณ์ของลุงออกไปรึเปล่า แต่ผู้หญิงเดินทางคนเดียว มันก็ต้องระแวงไว้ก่อนล่ะ แต่พอรู้ว่าลุงไม่มีเจตนาร้าย แถมยังมีน้ำใจ โห… น้ำตาจิไหลจริงๆ นะ แอบแผ่เมตตาให้ลุงทันที ขอให้ลุงมีความสุข

ทันทีที่เหยียบชานชาลาที่จะต่อรถปุ๊บ รถไฟก็มาปั๊บ โอย… รีบมาก หัวใจจะวาย ขึ้นโบกี้ไหนก็ไม่รู้ เลยเอาใบจองมาถามเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็ชี้บอกว่าถัดไปอีก 2 นะเธอว์ วิ่งสิเคอะ… สถานีนี้รถไม่จอดแช่เค่อะ มิใช่ Hauptbahnhof

ที่นั่งในรถเป็นแบบห้องละ 6 ที่ค่ะ หันหน้าชนกัน มีประตูเปิดปิดในแต่ละห้อง

เพื่อนร่วมทาง (ร่วมห้องโดยสาร) ของฉัน เป็นคุณแม่ลูกสองค่ะ คุณแม่ยังสาว พกลูกชายวัยน่าจะประถมต้นและประถมปลาย ลูกชายหล่อมากกกกก พอเข้าไปถึงก็ทักทายฉันอย่างเป็นมิตร คุณแม่รีบดุลูกให้นั่งเรียบร้อย แล้วช่วยฉันยกกระเป๋าเดินทางขึ้นวางบนชั้นเหนือศีรษะด้วย

ขอบคุณสวรรค์ เจอคนมีน้ำใจระหว่างเดินทางบ่อยมาก จนรู้สึกว่าคนที่มาช่วยเราแต่ละคนนี่ เป็นนางฟ้ารึเปล่าหว่า

IMG_20150325_214405
ออกจากเยอรมนีแล้ว

เท่าที่ฟังจากการพูดคุย คุณแม่พูดได้ทั้งเยอรมัน โปลิช และอังกฤษค่ะ ยังสาวด้วย คุณแม่พูดกับลูกชายเป็นภาษาโปลิช แต่ลูกชายดันพูดเป็นภาษาเยอรมัน ฉันเลยเดาว่าคุณพ่ออาจเป็นเยอรมัน แล้วลูกๆ ก็เป็นลูกครึ่ง พูดได้ทั้งสองภาษา อ้อ คนโตพูดอังกฤษได้ด้วยนะ อิอิ

น้องหล่อทั้งสองเมียงมองฉันเหมือนของแปลกค่ะ… สงสัยไม่เคยเห็นคนสวย 5555 ไม่ใช่แระ คงไม่ค่อยเห็นคนเอเชียรึเปล่า แต่พอยิ้มให้ แหม… ทำเป็นอายไม่กล้าสบตา แล้วพอเผลอๆ ก็แอบมองเราอยู่บ่อยๆ เอ่อ… ท่าทางจะเจ้าชู้นะเนี่ย 555

จริงๆ แล้ว ฉันพกเสบียงขึ้นรถมาด้วยค่ะ เป็นผัดหมี่จากร้าน Wok to Walk ตอนซื้อก็คิดว่าอาหารมันแห้งๆ คงไม่เป็นไร แต่พอเปิดกล่องที กลิ่นกระจาย… อายสามแม่ลูกมากๆ รู้สึกเลยว่าบรรยากาศในตู้เปลี่ยนไป

จริงอยู่ น้องๆ หนูๆ เขาก็กินแหลกนะคะ แต่ส่วนใหญ่เป็นขนมค่ะ ไม่มีกลิ่น

แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว The show must go on ค่ะ ฉันหันไปยิ้มอายๆ เล็กน้อย แล้วรีบก้มหน้าก้มตาโซ้ยให้หมดเร็วๆ ค่ะ

เพราะจะเก็บเข้ากระเป๋ามันก็กระไรอยู่ หรือครั้นจะกินแบบขยักขย่อน แต่ตราบใดที่เปิดกล่องมาแล้ว เหลือไว้ หรือมัวอ้อยอิ่งลังเล กลิ่นมันก็จะยิ่งฟุ้งกระจายนานเท่าที่ยังมีต้นตออยู่ คิดได้ดังนั้นก็ต้องกำจัดกลิ่นโดยการกินให้หมดค่ะ… อย่างเร่งด่วนด้วย

อย่างไรก็ตาม สามแม่ลูกก็ไม่ได้ตำหนิฉันแต่อย่างใด คุณแม่น่ารักมาก มีการชวนดื่มชาด้วยนะ แต่ฉันก็ปฏิเสธไปเพราะเกรงใจ ฉันเลยกางโต๊ะตรงที่นั่งของฉันให้เด็กๆ วางถ้วยชาเป็นการตอบแทน (ฉันนั่งริมหน้าต่างค่ะ เลยมีโต๊ะพับเล็กๆ)

สิ่งอะเมซิ่งอย่างหนึ่งของสองพี่น้องรูปหล่อก็คือ… พวกหนูๆ เขาเล่นถาม-ตอบคณิตศาสตร์กันเวลาว่างๆ ค่ะ

เพราะเด็กๆ พูดภาษาเยอรมันกัน ฉันถึงพอจะฟังออก พี่ตั้งโจทย์ถามน้อง น้องตั้งโจทย์ถามพี่ โจทย์ค่อยๆ ยากและยาวขึ้นเรื่อยๆ แต่สองพี่น้องก็ยังถามตอบกัน พอเบื่อๆ ก็เอาหนังสือมานั่งอ่าน คนพี่หยิบมือถือขึ้นมาเล่นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับติดค่ะ

เพราะกิจกรรมของเด็กเป็นแบบนี้รึเปล่านะ ทำให้ฉันรู้สึกว่า เด็กยุโรปสมาร์ทกว่าเด็กเอเชีย

คุณแม่เลี้ยงลูกยังไงคะ? เด็กเล่นถาม-ตอบคณิตศาสตร์ แถมรักการอ่านขนาดนี้ มีซนบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่จัดว่าน่ารำคาญค่ะ แม่ทักก็หยุด ไม่ต้องถึงกับดุเลย

ใจจริงอยากชวนคุณแม่คุยเหมือนกันนะคะ แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ฉันเองก็อยากดูวิวด้วยเหมือนกัน

20150325_162336
วิวระหว่างทาง

สามแม่ลูกไม่ได้ลงสุดสายอย่างฉันค่ะ

ก่อนลงคุณแม่ก็หันมาบ๊ายบายฉัน ส่วนเจ้าลูกชายคนโตนี่ร้ายมากค่ะ อ้อยอิ่งใส่แจ็กเก็ต รอคุณแม่กับน้องเดินพ้นไปก่อน แล้วก็หันมายิ้มให้ก่อนโบกมือบ๊ายบายทิ้งท้าย โห… ช้าไปแล้วไอ้หนู จะจีบสาวมันต้องไวนะลูก 5555 ตลอดทางนี่เกรงใจแม่สินะเอ็ง

ฉันเห็นว่าไม่มีคน ด้วยความไม่รู้ ก็เลยเตรียมหยิบกระเป๋าเดินทางลงมาจากชั้นเหนือศีรษะค่ะ เพราะคิดว่าคงไม่น่ามีคนมานั่งแล้ว

ปรากฏว่าที่ไหนได้ สถานีนี้คนขึ้นเยอะมาก

เวรกรรม… เอาลงมันง่าย แต่เอาขึ้นอย่างเดิมยังไง

ผู้ร่วมห้องโดยสารใหม่ทยอยขึ้นมาค่ะ

หนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มหน้าตาเอเชีย ตัวสูง หุ่นดี ตี๋ หน้าใส หล่อเหลาเอาการทีเดียว อายุน่าจะยี่สิบกลางๆ ถึงสามสิบต้นๆ (ประเมินกว้างๆ ไว้ก่อน 555)

ที่นั่งเขาติดกับฉันพอดีค่ะ พอเข้ามาถึงก็รีบช่วยฉันยกกระเป๋าขึ้นไปเก็บข้างบนทันใด

โห… สุภาพบุรุษมากอ่ะ แอบปลื้ม

สถานีนี้ผู้โดยสารเต็มห้องค่ะ… ถูกแวดล้อมด้วยผู้ชาย 5 คน รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก #ตัวลีบ

(แอบสปอยล์ว่า มาเที่ยวคราวนี้พักโฮสเทลแบบหอพักที่ไหน ก็ถูกจับไปนอนห้องเดียวกับผู้ชาย กลายเป็นดาวล้อมเดือนซะงั้นอ่ะ… เดี๋ยวนะ ตอนจองห้องปกติถ้าแยกหญิงชายก็จะระบุว่าห้องหญิงล้วนทุกครั้ง แต่คราวนี้มันมีแต่ mix ให้เลือก แล้วทำไมเหมือนถูกจัดให้มาอยู่ห้องชายล้วนเลยล่ะเนี่ย #สวยงง)

แอบรู้สึกว่าหนุ่มตี๋หล่อหล่อข้างๆ นึกว่าฉันเป็นคนบ้านเดียวกันค่ะ เพราะฮีเล่นแท็บเบล็ตหรือมือถือนี่แหละ หันหน้าจอมาทางฉันบ่อยๆ ทำให้เห็นชัดเลยว่าเป็นภาษาจีน แต่… ฉันไม่ใช่คนจีนอ่ะ เลยนั่งพิมพ์บันทึกการเดินทางเป็นภาษาไทยไปแก้เขินผู้ชาย 555

จนกระทั่งไปถึงสถานี Warszawa Centralna หรือ Warsaw Central Station คุณพี่หล่อจีนก็รอให้ผู้โดยสารอื่นออกไปก่อน แล้วช่วยยกกระเป๋าเดินทางของฉันลงจากชั้นเหนือศีรษะอีกแล้ว ซึ้งน้ำใจมากค่ะ

คือวินาทีนั้น ใครมาด่าคนจีน หรือเหยียดหยามคนจีน ฉันเถียงขาดใจเลยนะ พี่จีนคนนี้ทั้งสูง ขาว ตี๋ มาดแมน แฮนด์ซั่ม แถมยังมีน้ำใจสุดๆ อย่างไรก็ตาม ดูหน่วยก้านพี่จีนคนนี้แล้ว ฉันเดาว่า ถ้าไม่ใช่นักศึกษาที่มาเรียนที่นี่ ก็คงเป็นนักธุรกิจมาทำงานค่ะ เพราะแต่งตัวสุภาพ ดูดีมีสไตล์มาก

ระหว่างรอผู้โดยสารอื่นทยอยลงจากรถไฟ หนุ่มจีนคนนั้นก็ฮัมเพลง “เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้” ค่ะ!!! เจเนอเรชั่นนี้… ไม่น่าฮัมเพลงอมตะนิรันดร์กาลสมัยคุณแม่ยังสาว ฉันคิดว่าเขากำลังส่งสัญญาณบางอย่างกับฉัน เพราะคิดว่าชาติเดียวกันแน่ๆ หรือไม่ก็กำลังพยายามบอกว่า “ผมคนจีนนะครับ คนจีนไม่ได้เลวร้ายนะครับ”

แน่นอนว่าฉันไม่พลาดการเขียนถึงพี่ตี๋หล่อคนนี้เด็ดขาด คนดีๆ ต้องประกาศให้โลกรู้ค่ะ

เนื่องจากตอนนั่งในรถ ฉันเอาแต่นั่งเงียบ ไม่ได้ชวนใครคุย เพราะเกร็งผู้ชายมาก (จบโรงเรียนหญิงล้วนค่ะ เข้ามหาวิทยาลัยมีเพื่อนผุ้ชายนับหัวได้ และความแรดของฉันมันขึ้นอยู่กับสถานที่ค่ะ) ฉันก็กลัวว่าคุณพี่หล่อจะหาว่าฉันหยิ่ง พอลงจากรถไฟได้ ฉันก็เลยรี่เข้าไป ส่งยิ้มหวานแล้วก็จับมือทักทาย พร้อมพูดขอบคุณ และอวยพรให้เดินทางปลอดภัยค่ะ

คราวที่แล้ว ฉันไม่ได้ส่งความรู้สึกดีๆ ให้คุณลุงที่เบอร์ลินเพราะรีบและงง แต่คราวนี้ถึงที่หมายแล้ว ก็อยากส่งความรู้สึกดีๆ ให้กับคนมีน้ำใจ เขาจะได้มีกำลังใจทำดีกับคนอื่นต่อค่ะ

หลังจากนั้นก็ได้เวลาไปโรงแรมเสียที…

โปแลนด์เป็นประเทศที่แปลกค่ะ… ตั้งแต่มาคราวที่แล้วแระ

ฉันพูดโปลิชไม่ได้ แต่กลับเข้าใจสิ่งที่คนโปแลนด์กำลังพูดอยู่

ครั้งก่อนมีบางโมเมนต์ที่ฉันเผลอล่ามภาษาโปแลนด์ระหว่างเที่ยวโดยไม่รู้ตัว คราวนี้ก็มีบ้างเหมือนกัน… งงตัวเองเลย

หลังจากแลกเงินในสถานี ถามหาทางออก ระหว่างทางฉันก็เจอร้าน Yves Rocher พอดีเลย มีครีมตัวนึงที่อยากได้ เลยแวะเข้าไปเสียหน่อย

ก็ถามพนักงานเป็นภาษาอังกฤษค่ะ มีรุ่นนี้มั้ย ดันจำชื่อรุ่นไม่ได้อีก เลยบรรยายสรรพคุณ บลาๆๆ

ช็อคค่ะ… พนักงานตอบกลับมาเป็นภาษาโปลิช บอกว่าไม่มีค่ะ เรายังไม่มีรุ่นที่เป็นแบบนี้ คุณไปเอามาจากไหน บลาๆๆๆ

ฉันก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษกลับไป ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ ชวนคุยนิดหน่อย ว่าได้แซมเปิลมาจากเมืองไทย ใช้ดีมากๆ เลย นั่นนู่นนี่

ออกมาจากร้าน ช็อคระลอกสอง… เมื่อกี้สื่อสารกันเข้าไปได้ยังไง ฉันไม่ได้ยินภาษาอังกฤษซักคำ แม้แต่ขอบคุณยัง “จิงกูเย่” กับฉันอยู่เลย

เหอะๆๆๆ มันไม่ใช่ว่าฟลุคค่ะ หลังจากนั้นมันมีอีก… มีมากกว่า 3 ครั้งแน่ๆ และคนวอร์ซอ ต่อให้เป็นเมืองหลวงของโปแลนด์ ก็ไม่พูดภาษาอังกฤษกันจริงๆ… ไม่พูดเลยมากกว่า หลายๆ คนปฏิเสธเวลาเราพูดภาษาอังกฤษด้วยนะเออ ยกมือขึ้นแล้วโนอิงลิชรัวๆ เลยล่ะ กระนั้น ถึงเขาจะปฏิเสธภาษาอังกฤษ แต่เขาเป็นมิตรนะคะ สื่อสารไม่ได้ ก็ยังพยายามช่วยเหลือเราอย่างดีค่ะ จะเล่าให้ฟังในเอ็นทรีต่อๆ ไป

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.