ย้อนกลับไปยังทริปเมื่อปีที่แล้ว…
(ขออภัยที่โพสต์ค้างๆ คาๆ ข้ามปี)
6 มิ.ย. 2014
เป็นวันสุดท้ายในเยอรมนีของทริปนี้
รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้อาลัยมากมายนัก เพราะ… รีบมาก กลัวตกเครื่องบิน 555 และที่สำคัญ ฉันรู้สึกว่าจะได้กลับมาที่เบอร์ลินอีกอย่างแน่นอน (แล้วก็กลับมาจริงๆ นั่นแหละ ไม่ทันครบปีด้วยซ้ำ)
แอบเล่าเรื่องเด็ดทิ้งท้ายเบอร์ลินเสียหน่อย
เจอเรื่องเสียความรู้สึกเล็กน้อย เดี๋ยวจะหาว่าฉันอวยแต่เบอร์ลิน
เรื่องแย่ๆ (ก็ไม่เชิง) ก็มีนะ
ที่สถานีรถไฟใต้ดินที่ฉันนั่งมาต่อบัสเพื่อไปสนามบิน
แน่นอนว่า ฉันหอบกระเป๋าเดินทางใบโตมาอย่างทุลักทุเล เวลาก็ฉิวเฉียด เพราะรถราที่นี่ออกจากป้ายและสถานีเป๊ะมาก
สถานีรถไฟที่ต้องต่อรถน่าจะเป็น U Jakob-Kaiser-Platz
ลงจากรถ มองป้าย เห็นชื้ว่ารถบัสไปสนามบิน ฉันเลยเดินตามป้ายไป
ที่ไหนได้… เป็นบันไดค่ะ เวลาก็เหลือไม่มาก ไม่รู้ว่าจากสถานีไปถึงป้ายรถบัสไกลแค่ไหน เลยต้องรีบ ไม่ทันได้คิด
เอาวะ! หอบกระเป๋าเดินทางอันแสนหนักขึ้นบันได้ก็ได้ ไหนๆ ก็เอ็กเซอร์ไซส์จากการลากกระเป๋าลงบันไดบ้านมาตั้งแต่เช้าแล้ว
ทันใดนั้นเอง ก็มีคุณลุงคนหนึ่ง มองเห็นสภาพอันทุลักทุเลของฉันไม่ได้ วิ่งปร๊าดเข้ามาแย่งกระเป๋าในมือไป ยกขึ้นไปให้จนถึงด้านบน
โอ้ววว จิตใจประเสริฐอะไรเยี่ยงนี้
ฉันขอบคุณคุณลุงเป็นการใหญ่ แต่สิ่งที่ลุงตอบกลับมาทำเอาฉันถึงกับเงิบ
“ไม่ต้องมาขอบคุณฉันเลย ฉันไม่ได้ยกให้เธอฟรีๆ ฉันทำงาน เธอต้องให้เงินฉัน”
อึ้งค่ะ… ไม่ใช่ว่าฟังภาษาเยอรมันไม่ออก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดแบบนี้ใส่หน้า
เอ่อ… ลุงคะ ไม่ได้ขอให้ช่วยเลย
ลุงเห็นฉันอึ้ง ก็พูดย้ำอย่างเดิมอีก แถมท้ายให้เป็นไกด์ไลน์ว่า “มียูโรนึงมั้ยล่ะ”
ฉันเลยควักเหรียญ 1 ยูโรออกจากกระเป๋า แล้วยื่นให้ลุง
อึ้งสิคะ
อึ้งแต่เช้าเลย
แต่ไม่มีเวลาให้อึ้งมาก เพราะรถบัสกำลังจะออกในไม่กี่นาทีแล้ว
รีบบึ่ง!!!
ถึงสนามบินตามกำหนดอย่างสวยงาม
หวังว่าคงไม่มีอะไรให้เงิบหลังจากนี้อีกนะ เหอๆๆๆ… (แต่ก็มี)
ฉันออกเดินทางจากสนามบิน Tegel ไปยังสนามบิน Charles de Gaulle ด้วยสายการบิน Lufthansa โยใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงนิดๆ
ฉันนัดกับเพื่อนสมัยมัธยมซึ่งบินมาจากเมืองไทยเอาไว้ เราจะมาเจอกันที่ปารีส แล้วไปเที่ยวบาร์เซโลนาและแรงส์ด้วยกัน
เราทั้งสองตกลงกันว่าจะเจอกันที่สถานีรถไฟ RER B ที่จะเข้าเมือง
แต่ฉันพลาดไปอย่างหนึ่ง…
ที่สนามบิน มีสถานีรถไฟ RER B 2 สถานี!!!
ฉันก็รอ ร๊อ รอ
เพื่อนฉันก็รอ ร๊อ รอ
เอ๊ะ… รอนานแล้ว ชักแปลกๆ
ในที่สุดเพื่อนก็โทรเข้ามา
บอกว่ารออยู่หน้า information แต่ต่างคนต่างก็ไปถึง information ก็ไม่เจอกัน
ถามกันไปมา เอ๊ะ ไม่ใช่แระ… อยู่กันคนละสถานีแน่ๆ
โธ่ ฉันพลาดเอง นึกว่าแต่ละเทอร์มินอลจะนั่งรถ shuttle train มาสถานี RER B ที่จุดเดียวกัน
โชคดีที่เพื่อนเปิดโรมมิ่งไว้ เพราะมือถือของฉันใช้งานโทรออกนอกเยอรมนีไม่ได้อีกแล้ว เลยยังพอสื่อสารกันได้
สุดท้าย ฉันก็รีบบึ่งไปยังอีกสถานีหนึ่ง
กว่าจะได้เจอ… หืดขึ้นคอ เพราะไม่ได้มาตัวเปล่า แต่ต้องลากกระเป๋าที่บรรจุสัมภาระสำหรับอยู่ยุโรป 1 เดือนกว่าๆ มาด้วย
นั่ง RER B มาลงสถานี Gare du Nord
ลากกระเป๋ากันมาจนถึงโรงแรมเป็นระยะทางไกลโข
ฝรั่งเศส… ไม่สิ ปารีส จัดได้ว่าเป็นเมืองร้อนของยุโรปสำหรับฉัน หน้าหนาวอาจจะหนาว แต่เมื่อปีก่อนหน้านั้นมาเยือนตอนเดือนกันยา เพื่อนฝรั่งเศสบอกว่าเริ่มหนาวแล้วนะ แต่ปรากฏว่าอากาศแค่เย็นสบาย (หนาวของฉัน ถ้าไม่ใช่ห้องแอร์ ป่วย หิว นอนน้อย หรือฝนตกนี่คือต้องเกือบ 0 องศาล่ะ เกิน 5 ยังถือว่าเย็นๆ) แถมตอนกลางวันอยากถอดเสื้อนอกเหลือแต่เสื้อแขนสั้นด้วยซ้ำ ในขณะที่เมืองอื่นๆ ในโซนใกล้เคียงกันอย่างแรงส์กลับอุณหภูมิต่ำกว่า อ้อ คราวนี้ไปบาร์เซโลนาก็ยังเย็นสบายกว่าปารีสเฉยเลย
ปารีสร้อนนรกแตกน้องๆ เมืองไทย… ไม่ได้คิดไปเองค่ะ เพื่อนชาวฝรั่งเศสก็คอนเฟิร์มมา
อยากเที่ยวฝรั่งเศส โดยเฉพาะปารีส กรุณาอย่ามาหน้าร้อนนะคะ เว้นแต่ว่าเป็นคนชอบอากาศร้อนแบบสุดใจขาดดิ้น แต่คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่น่าจะชอบอากาศเย็นสบายมากกว่า เพราะบ้านเรามันร้อนจนเบื่อแล้วชิมิคะ
ต้นเดือนมิถุนา เพิ่งจะปลายผลิต้นร้อนค่ะ แต่สำหรับฉัน… ไม่ไหว… เดินแป๊บเดียวร้อนตับแตก แบกสัมภาระอีก เหนื่อยสุดใจ
เบอร์ลินยังหนาวอยู่ดีๆ ห่างกันไม่กี่ลี้ ทำไมอากาศต่างกันราวฟ้ากับเหว!!!
โรงแรมของเราอยู่ห่างจากสถานีพอสมควร (ทำไมตอนจองมองใน Google Map แล้วมันเหมือนไม่ไกลมากนะ หรืออาจเป็นเพราะกระเป๋าหนัก แถมทางเดินไม่ค่อยดีนักก็เป็นได้ เพราะทางเท้าปูด้วยบล็อคตัวหนอนแบบบ้านเรา บางที่ก็มีการซ่อมแซม บางที่ก็แคบ หลบกันไปหลบกันมา เดินไม่ค่อยราบรื่น)
เป็นครั้งแรกในการพักที่โรงแรมในปารีส
คืนนี้เราพักกันที่ Hôtel de Bordeaux
สิ่งที่พลาดในการจองครั้งนี้คือ.. โรงแรมไม่มีลิฟต์!!! บันไดแคบมาก!!! และห้องพักของเราอยู่ชั้น 4!!!
แม่เจ้า! หืดขึ้นคออีกระลอก
พอได้ฤกษ์ลงมาชำระค่าห้องพัก สิ่งที่อึ้งอีกอย่างหนึ่งก็คือ…
ก่อนเรามา 1 วัน โรงแรมได้ตัดค่าห้องพักผ่านบัตรเครดิตไปเรียบร้อยแล้ว ขาดเพียงแค่ลายเซ็นของฉันเท่านั้น
จริงๆ ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตอะไรหรอกค่ะ เพราะยังไงถ้าเราแคนเซิลก่อนมาถึง 1 วัน เราก็ต้องจ่ายเต็มจำนวนอยู่ดี
แต่… แง่ความรู้สึก ฉันไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่
รู้สึกใจคอไม่ดีที่เงินถูกตัดไปโดยที่เราไม่รู้ และไม่ได้ยอมรับก่อน
ถามว่าโดยหลักการแล้วรับได้ไหม รับได้ค่ะ
แต่อยากจิบอกว่า การมาฝรั่งเศสคราวนี้ มีปัญหากับโรงแรมมากมาย ตั้งแต่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ จุกๆ จิกๆ ไปจนถึงปัญหาใหญ่เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องความไม่สะดวกสบายดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อย่างน้อยโรงแรมนี้ยังมีดีตรงที่พนักงานเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใสค่ะ
มันก็ไม่ได้แย่ไปซะทุกอย่างหรอกนะ แต่ก็ไม่ค่อยจะประทับใจเท่าไหร่
วันแรก เหลือเวลาครึ่งวัน
เลยเดินเล่นกันชิลๆ ในปารีสค่ะ
เส้นทางเดิมๆ ที่เคยมาคราวที่แล้วแหละ แต่คราวนี้มากับเพื่อนคนไทยที่เพิ่งมาปารีสเป็นครั้งแรก ถือว่าพาเพื่อนเที่ยวค่ะ
ไม่บรรยายอะไรมากนะคะ เหมือนกับที่ไปมาเมื่อปี 2013
อ้างอิงบันทึกเก่าๆ
- 1 สัปดาห์ เริงร่าฝรั่งเศส : ปารีส (1)
- 1 สัปดาห์ เริงร่าฝรั่งเศส : ปารีส (2)
- 1 สัปดาห์ เริงร่าฝรั่งเศส : ปารีส (3)
เริ่มต้นจากเหนือลงมาใต้… ดังนั้นเราจึงไปมองมาร์ตกันก่อนค่ะ
ถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็เดินลงเขามุ่งเป้าไปยังที่ต่อไป
หลังจากนั้น ก็นั่งเมโทรลงใต้ไปต่อกันที่ D’Oper หรือ โรงละครโอเปร่า
เดินเทียวไป เดินเทียวมา หาทางเข้าไม่เจอค่ะ
ตอนมาครั้งที่แล้วมีการซ่อมแซมทางเข้า แต่คราวนี้เหมือนจะเสร็จแล้ว ทัศนียภาพเปลี่ยนไป งงเฉยเลย
ที่ไหนได้… ปิดค่ะ เข้าไม่ได้ ดันแจ็คพ็อตมาวันที่มีการแสดงพอดี
เสียดายมาก แอบอยากให้เพื่อนเข้าไป จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรเยอะหรอกค่ะ เดินถ่ายรูปเพลินๆ ซักชั่วโมงก็หมดแล้ว แต่มันสวยดี และคงไม่มีแบบนี้ในเมืองไทย
ใครมาเที่ยวที่นี่ แนะนำว่าให้มาตอนเช้านะคะ ยังไงก็เปิดแน่ๆ แต่ถ้ามีรายการการแสดงอะไร เขาจะปิดตอนบ่ายค่ะ
แอบเม้าธ์เล็กน้อย
เราซื้อแซนวิชมานั่งกินแถวๆ โรงละครโอเปรานี่แหละค่ะ
แถวนั้นมีคนนั่งผึ่งแดด และกินแซนวิชแบบเราเยอะแยะ
ระหว่างนั้นเอง มีชายหญิงคู่หนึ่ง แต่งตัวดีเลิศไฮโซสะดุดสายตามาก ทั้งคู่เดินมาเจอราวกับนัดกัน จากนั้นก็นั่งจู๋จี๋กันด้านหน้า (ในรูปแรกของโรงละคร) สักพัก ก็จูบกันแบบดูดดื่มลืมโลก
คนแถวนั้นช่วยกันโห่เป็นเสียงเดียว
ผ่านไปประมาณ 5 นาที
แม่เจ้าโว้ย… ยังจูบกันไม่เลิก
ฉันกับเพื่อนกินแซนวิชไป คุยกันไป จนเสร็จ หันมามองอีกครั้ง
เฮ้ย… ยังจูบกันอยู่!!! อะไรจะมาราธอนขนาดนี้!?
พอหนำใจแล้ว ทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป
เอ๊ะ นี่มันชู้รักลักลอบพบกันนอกสถานที่หรือไร? มาถึง จูบกันนัวเนีย แล้วก็แยก
เป็นความสัมพันธ์ที่น่าสงสัยอย่างบอกไม่ถูก 555
ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเที่ยวเลย
คล้อยบ่ายแล้ว… จริงๆ บ่ายแก่ๆ แล้วต่างหาก แต่อาศัยว่าหน้าร้อน มืดช้า
เราก็เดินกันต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ลูฟร์
ไม่ได้เข้าไปหรอกค่ะ ดูแค่รอบๆ เพราะใกล้จะเย็นย่ำแล้ว จริงๆ แอบหวังใจว่าจะมาอีกทีตอนเย็นๆ เพราะบัตรเข้าชมราคาลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ย้อนมา
อย่างไรก็ตาม… ข้างในมันใหญ่มาก ควรเผื่อเวลาไว้ซักครึ่งวันสำหรับที่นี่ โดยเฉพาะคนที่สนใจประวัติศาสตร์และงานศิลปะ วันนึงอาจยังน้อยไปด้วยซ้ำ เหอๆๆๆ
แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ต้องพาเพื่อไปดูปิรามิดคว่ำก่อนค่ะ
จากนั้นเดินผ่านสวน Jardin des Tuileries ไปยังถนนชองเซลิเซค่ะ
แล้วฉันก็พาเพื่อนเดินไปตามเส้นทางเดียวกับเมื่อปีก่อนเด๊ะ อ้อ แต่มีออกนอกเส้นทางด้วยนิดหน่อย ไว้ไปต่อในเอ็นทรีหน้าค่ะ