Zurück zu Dir bei Finnair

*** ขอพักการอัพเดทการเที่ยวยุโรปเมื่อปี 2014 (ต่อจากเอ็นทรีที่แล้ว) ไว้ชั่วคราว จริงๆ ยังเหลือฝรั่งเศสกับสเปนอยู่ แต่เนื่องจากเพิ่งไปทริปสั้นๆ 9 วันเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2015 จึงอยากแทรกไว้ จะได้อัพเดทรวดเดียวจบทริปได้  ขออภัยที่เนื้อหากระโดดข้าม***

 

21 มีนาคม 2015

ขึ้นเครื่องเหินเวหากลับมาเบอร์ลินด้วยบริการของฟินน์แอร์

แน่นอนว่าทริปนี้ กลับมาเพื่อหาเรื่องฟินโดยเฉพาะ และดูเหมือนชื่อสายการบินก็ช่างประจวบเหมาะโดยมิได้ตั้งใจ (ราคามันโอเคกว่าสายการบินอื่น)

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า คราวนี้ฉันไปด้วยเส้นทางที่ยาก

กล่าวคือ ขาไปออกจากกรุงเทพ ลงเบอร์ลิน ส่วนขากลับออกจากวอร์ซอ มายังกรุงเทพ แถมตอนที่จองตั๋วนั้น ติดเงื่อนไขบังคับ นั่นคือ “ต้องกลับมาให้ทันเลี้ยงแมวให้น้องสาว (ที่จะไปฮ่องกง)” ทำให้ไม่สามารถยืดเวลาในการเดินทางไปถึงวันที่ตั๋วถูก หรือนั่งรถบัสกลับมาขึ้นเครื่องบินที่เบอร์ลินได้ทัน

สิ่งที่ทำให้ทริปวอร์ซอไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก ก็เพราะฉันจองตั๋วคอนเสิร์ตที่นั่นในวันที่ 27 แต่ต้องกลับมากรุงเทพให้ทันวันที่ 29 (กระนั้น สุดท้ายก็เลื่อนมาเป็นวันที่ 30 เพราะค่าตั๋วเครื่องบินถูกกว่า 4,000 บาท)

การเข้าออกเบอร์ลินจากกรุงเทพ ไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย แต่ความยากอยู่ที่วอร์ซอ เพราะสายการบินที่วางรูทจากวอร์ซอ ไปต่อเครื่องที่ไหนสักแห่ง แล้วกลับไทยนั้น… มีน้อยเท่าหอยมด หนำซ้ำ ราคายังแพงหูฉี่

ยิ่งพอไปดูคอนเสิร์ตที่วอร์ซอจริงๆ แล้ว รู้สึกคิดผิดทันที… รู้งี้ซื้อตั๋วไปดูที่เวียนนาดีกว่าเยอะเลย

นั่นเป็นเพราะ วิถีในการชมคอนเสิร์ตของคนโปแลนด์ ทำเอาฉันเข็ดขยาดมากๆ บวกกับที่วอร์ซอไม่ค่อยมีอะไรน่าเที่ยวเท่าไหร่ (ฉันชอบเมืองอื่นในโปแลนด์มากกว่า)

แต่ถ้าไปเวียนนา ไม่ว่าคนดูคอนเสิร์ตที่นั่นจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยก็มีที่เที่ยวเยอะกว่า และก็มีสายการบินกลับเมืองไทยมากกว่า และราคาไม่แพงขนาดนี้ T__T

 

เริ่มด้วยฟินตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินไป

อย่างไรก็ตาม ท่องยุโรปคราวนี้ ฟินมากฉันใด ก็มีเรื่องไม่ฟินเข้ามามากฉันนั้น

มาคราวนี้มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายสลับกันไป แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรมามากมาย

เริ่มจาก ฟินน์แอร์… เป็นสายการบินที่น่ารัก 🙂

ตั้งแต่นั่งเครื่องบินมา ถ้าไม่นับตอนเด็กๆ สายการบินที่ฉันประทับใจในบริการมากที่สุดก็คือกาตาร์ เครื่องใหม่ ที่นั่งทันสมัย อาหารโอเค พนักงานต้อนรับยิ้มแย้มแจ่มใส หัวใจบริการใกล้เคียงกับความเป็นเอเชียตะวันออก แถมเสียงประกาศก็ไพเราะเสนาะหูจนอยากหัดเรียนภาษาอาหรับดูบ้าง นอกจากนี้… ค่าโดยสารก็ยังอยู่ในระดับกลางๆ (ยิ่งถ้าจองด้วยโปรโมชั่นยิ่งถูก และยิ่งถ้าเข้าและออกด้วยสนามบินเดียวกันก็ยิ่งถูก)

ส่วนฟินน์แอร์ ฉันก็ประทับใจ แต่ไม่ถึงขั้นกาตาร์

ฟินน์แอร์นั้น มันฟินตรงไหน…

คำตอบแรกของฉันเลยก็คือ “อาหารบนเครื่อง” ค่ะ

ทั้งขาไปและขากลับ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่อร่อยกว่าสายการบินอื่นๆ ที่เคยได้ลิ้มรสมา

นอกจากนี้พนักงานต้อนรับก็อัธยาศัยดี แต่เป็นแนวกันเองมากกว่า เห็นผู้โดยสารหลายคนชวนคุยบ้างอะไรบ้างมากมาย ดูบรรยากาศเหมือนบ้านอยู่กลายๆ บนเครื่องบิน หรือจริงๆ แล้วอาจไม่เกี่ยวกับการบริการ แต่เป็นอุปนิสัยของคนฟินแลนด์เองรึเปล่านะ?

ระหว่างทางบนสายการบินฟินน์แอร์ หลังจากเสิร์ฟมื้อหลักผ่านไปราว 2 ชั่วโมง ก็ปรากฏข้อความขึ้นที่จอมอนิเตอร์ว่า…

“หิวมั้ย? มารับขนมและเครื่องดื่มได้ที่ครัวด้านหลังนะคะ” (เป็นภาษาอังกฤษ)

ขึ้นอยู่ถี่ๆ ช่วงหนึ่งแล้วก็หายไป

หลังจากนั้น ผู้โดยสารก็ทยอยเดินกันขวักไขว่ทั่วเครื่องบิน

เอ๋? มีแบบนี้ด้วย แปลกดีแฮะ ปกติเขาต้องพยายามให้ผู้โดยสารนั่งเป็นระเบียบอยู่กับที่นี่นา

ขณะที่ฉันยืนรอเข้าห้องน้ำ ก็พบว่า ไม่ได้มีแค่ผู้โดยสารเดินไปหยิบขนมและน้ำเท่านั้น แต่บางคนยืนคุยกับพนักงานต้อนรับเลยล่ะ!

อย่างไรก็ตาม ขากลับจากยุโรป ฉันไม่ได้เห็นภาพแบบนี้อีกแล้ว เป็นการบริการแบบปกติเหมือนสายการบินอื่น

พนักงานต้อนรับสายการบินฟินน์แอร์เท่าที่เห็น มีผู้ชายไทยหนึ่งคน นอกนั้นเป็นพนักงานชาวฟินน์แลนด์

แต่ฉันนั่งอยู่โซนที่พนักงานไทยไม่ได้รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน

… แต่ไม่พูดภาษาอังกฤษกับฉัน ทำไม! ทำไม! ทำไม!

ทั้งที่ฉันพูดภาษาอังกฤษกลับไปทุกครั้ง

กระนั้น ยังโชคดีที่มีคนไทยนั่งเบาะหน้าถัดไปราว 2 แถว กับเบาะข้างหลัง ฉันจึงอาศัยฟังที่พนักงานพูดกับคนไทยแถวหน้าและแถวหลังก่อนที่จะมาถึงฉันอีกที

หนังหน้าฉันเหมือนคนฟินแลนด์ตรงไหน?

“Pardon?” กลับไปก็พูดฟินแลนด์กลับมาทุกที

ส่วนผู้โดยสารชาวยุโรปบนสายการบินนี้ ทำฉันทึ่งทั้งขาไปและขากลับ

ฉันไม่กล้าฟันธงว่าเป็นชาวฟินแลนด์ทั้งหมด แต่คิดว่าน่าจะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่… หิ้วลูกเล็กเด็กแดงเที่ยวข้ามทวีปกันเยอะมาก เรียกได้ว่าตั้งแต่นั่งเครื่องบินมา ถ้าไม่นับไฟลท์จากนาริตะไปลงดีทรอยต์ที่มีผู้โดยสารชาวจีนและเกาหลีที่หอบลูกจูงหลานขึ้นมาร้องไห้ระงมจนหลับไม่ลงตลอดการเดินทางเกือบสิบชั่วโมงแล้ว

ฝรั่งที่โดยสารสายการบินฟินแอร์มีอัตราการเป็นพ่อแม่ที่หอบลูกเล็กๆ ตั้งแต่ทารกจนไม่น่าจะเกิน 6 ขวบขึ้นเครื่องบินระยะยาวๆ มากกว่าสายการบินอื่น

แน่นอนว่า เสียงเด็กเล่นกัน ร้องไห้ งอแงตลอดทาง แม้จะแพ้จีนและเกาหลีในคราวนั้น แต่ฉันรู้สึกเลยว่า เด็กญี่ปุ่นนี่วินัยการอยู่ในที่สาธารณะชนะขาด

และพ่อแม่เด็กก็มิได้ห้ามปรามแต่ประการใด เว้นแต่กรณีร้องไห้จ้าขึ้นมา

นั่นเป็นทั้งขาไปและขากลับ (โชคดีที่ขากลับไม่ได้นั่งโซนเด็กเยอะ แต่ก็ได้ยินเสียงเด็กแว่วมาเกือบตลอดทาง)

แม้ในยุโรป ฝรั่งก็มีวิธีการเลี้ยงลูกที่ต่างกันสินะ

พ่อแม่เยอรมันที่ฉันเคยเจอบนรถไฟในเบอร์ลินจะดุลูกอย่างตรงไปตรงมา ในขณะที่ประเทศอื่นคงอ่อนโยนกว่าหรือไม่ก็ตามใจลูกมากกว่า

มีรายหนึ่ง ไม่รู้สัญชาติ แต่ลูกชายผมสีทอง ตาสีฟ้า ยืนหันหน้ามาข้างหลัง มองหน้าเด็กแฝดที่อยู่เบาะหน้าฉัน จากนั้นก็ส่งเสียงกรี๊ดๆ ทั้งไฟลท์ โดยพ่อแม่ไม่ทำอะไรเลย …นั่นเป็นไฟล์จากปารีสไปสเปน

ส่วนพ่อแม่อเมริกัน… เท่าที่เคยเจอ เล่นกับลูกอย่างสำราญใจหน้าตาเฉยเเลยบนเครื่องบิน -*- (บังเอิญนั่งอยู่เบาะหลัง รำคาญมาก บอกเลย <<< ไม่ใช่คนรักเด็ก) นั่นเป็นไฟลท์กลับจากคิวชู

ไม่ใช่เอเชียทุกชาติที่เอาแต่ตามใจลูก และก็ไม่ใช่ฝรั่งทุกชาติเช่นกันที่ปลูกฝังวินัยให้กับลูก

แต่ทุกวันนี้ก็ยังสงสัยว่าคนญี่ปุ่นเขาเลี้ยงลูกยังไง ทำไมถึงได้เรียบร้อยขนาดนั้น เผื่อในอนาคตเป็นแม่คนจะได้เลียนแบบมั่ง แม้แต่เพื่อนญี่ปุ่นของฉันที่มีลูกก็เลี้ยงลูกได้ดั่งใจมาก โดยแทบไม่ต้องดุว่าหรือตี (ลูกนางซนมาก แต่จะซนเวลาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว เช่น บ้านหรือรถยนต์เท่านั้น เห็นนางดุลูกแค่ในบ้านเท่านั้น พอออกสู่ที่สาธารณะนี่เงียบกริ๊บ รู้หน้าที่ ที่จะดื้อก็ไม่ดื้อ จะซนก็ไม่ซน เดินถนนไม่ต้องจูงมือ ไม่ต้องกลัวหาย ต่อให้ทิ้งห่างก็เชื่อใจได้ว่าเดินตามมาเป็นขบวนลูกเป็ด แถมช่วยแม่ดูแลน้องอีกต่างหาก เป็นสิ่งที่ตะลึงจริงๆ)

ฉันนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพ มาต่อเครื่องที่เฮลซินกี ก่อนลงจอด ปกติจะรู้สึกว่าพอเครื่องลงต่ำ จะค่อยๆ ลดความเร็วลง แต่เครื่องลำนี้ พอใกล้ถึงรันเวย์แล้วกลับรู้สึกเหมือนเครื่องเร็วขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เล่นเอาเด็กๆ กรี๊ดลั่น

ไม่ฟินอย่างเดียว… เสียวด้วย เหอๆๆๆ

แต่ก็ถึงเฮลซินกีโดยปลอดภัย

เดินผ่านพิธีการตม. บลาๆๆ แล้วมารอต่อเครื่องเพื่อไปเบอร์ลิน

อากาศที่เฮลซินกีอยู่ที่ 13 องศา ท้องฟ้าสดใส มองออกไปนอกอาคารน่าเที่ยวยิ่งนัก พอเห็นอุณหภูมิเบอร์ลินถึงกับขนลุกเกรียว 3 องศา! ดีนะที่ไม่ติดลบ อยู่ใต้กว่าฟินแลนด์ แต่ดันหนาวกว่าฟินแลนด์ คงเพราะอิทธิพลของกระแสลมจากแผ่นดิน

เฮลซินกีเป็นสนามบินที่คนญี่ปุ่นเยอะมากกกก มีกระทั่งช่องตรวจคนเข้าเมืองสำหรับผู้ถือพาสปอร์ตญี่ปุ่นโดยเฉพาะ มองไปรอบๆ เห็นตี๋ๆ หมวยๆ นี่ไม่ใช่คนจีนเลยนะ คนญี่ปุ่นทั้งนั้น นอกจากนี้ขณะต่อแถวผ่านตม. ยังได้ยินเสียงไกด์ญี่ปุ่นพูดกับลูกทัวร์ตลอด ทัวร์แล้วทัวร์เล่า… ไม่ได้มีทัวร์เดียวแน่นอน

คนญี่ปุ่นกำลังฮิตเที่ยวฟินแลนด์กันเหรอ?

หลังจากผ่านตม. ก็พบว่าสนามบินเฮลซินกีใหญ่มากกกก เดินไกลมากกก แต่เป็นระเบียบ ไม่งง แผนที่เข้าใจง่าย มีร้านกาแฟ ร้านสแน็ค และร้านอาหารคั่นอยู่ตลอดทาง

จากเฮลซินกีสู่เบอร์ลินใช้เวลา 2 ชั่วโมง เวลาท้องถิ่นต่างกัน 1 ชั่วโมง

ถึงที่หมาย ฉันก็เช็คอินโรงแรม และหาซื้อซิมใส่มือถือ ก่อนวกกลับไปรับเพื่อนที่สนามบินอีกที

 

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.