หลังจากเยี่ยมชมปราสาทและหอคอย เราก็เดินผ่านทางเชื่อมไปยังสวนของปราสาท
สวนของปราสาทเชสกีครุมลอฟ เป็นสวนสไตล์ผสมผสานบาโรคและร็อคโคโค
ระหว่างทางเดินกลับ เจอคนไทยกลุ่มหนึ่งเดินสวนมา เขาเห็นโจงกระเบนก็เข้ามาทักและขอถ่ายรูป
เป็นครั้งแรกที่คนไทยด้วยกันมาขอถ่ายรูปตอนใส่ชุดไทย
หวังว่าเที่ยวครั้งหน้า อาจมีคนไทยใส่ชุดไทยเดินเที่ยวในต่างแดนมากยิ่งขึ้น… ชุดไทยสวยจะตาย
จริงๆ แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่หมีโผล่ออกมาจากถ้ำตรงประตูทางเข้าปราสาท แต่ถ่ายมาไม่ชัด เลยลบทิ้งไปหมดแล้ว (กล้องไม่ซูม) เหมือนจะมีราว 4 ตัว นานๆ จะโผล่หน้ามาต้อนรับนักท่องเที่ยวเสียที แต่มองเข้าไปในกรงหมีก็สะอาดดี กลิ่นไม่เหม็น
เป็นหมีสีน้ำตาล ตัวอ้วนอุ้ยอ้าย ละม้ายคล้ายหมีพูห์
เราตัดสินใจกันว่าจะไปจิบน้ำชาแก้หนาว เนื่องจากยังมีเวลาเหลืออีกราวชั่วโมงกว่ารถบัสจะออก
น้อง M หาข้อมูลร้านนี้ในอินเตอร์เน็ตก่อนมา เราจึงได้ที่พักขาที่มีชาอร่อยๆ ดื่ม
ร้านชื่อ Dobra Cajouna อยู่ไม่ไกลจากทางเดินกลับไปยังท่ารถมากนัก
ร้านนี้เป็นร้านที่มีสารพัดชา เหมาะแก่การมานั่งจิบชาอย่างจริงจัง
(โซนด้านในได้กลิ่นบารากุลอยมาด้วย คิดว่ามี เพราะมองเข้าไปควันโขมงเลย)
อย่างไรก็ตาม เรานั่งกันข้างนอก
คนเยอะมากกกกก แต่อากาศหนาวเลยรู้สึกอบอุ่นดี
กำแพงด้านหนึ่งของร้านมีหนังสือวางอยู่เป็นแผง คิดว่าในวันที่คนไม่มาก ต้องมีคนมานั่งหย่อนใจหรือฆ่าเวลาที่นี่กันแน่ๆ
พนักงานอัธยาศัยดีมาก สามารถแนะนำเมนูเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างฉะฉาน
มีทั้งชาจีน ชาญี่ปุ่น ชาอินเดีย ชาฝรั่ง ชาเปอร์เชีย ชาอัฟริกา อ่านเมนูชาจนตาลาย ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง เลยขอให้เขาแนะนำที่เด็ดๆ มาหนึ่งเซ้ตสำหรับกินสองคน
หลังจากพักผ่อนที่ร้านชา ก็ใกล้ถึงเวลาต้องกลับปราคเสียแล้ว
เสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้เดินตะลอนๆ ในเมืองอย่างละเอียดกว่านี้… ยังมีพวกพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เช่น พิพิธภัณฑ์หุ่นเชิด พิพิธภัณฑ์ของเล่น ฯลฯ แต่ไม่ไหว ฝนก็ตก หนาวก็หนาว แต่แค่ปราสาทก็อิ่มใจ
จากนั้นก็นั่งรถบัสกลับปราคไป เพราะวันพรุ่งนี้ต้องผจญภัยกันใหม่อีกเมืองนึง