หนุ่มเบอร์ลิน พฤติกรรมทำหญิงใจละลาย

ตั้งแต่ไปเที่ยวยุโรปมา ไม่มีหนุ่มย่านไหนเตะตาฉันได้เท่าหนุ่มเบอร์ลิน

(ถึงแม้หนุ่มไลป์ซิกจะแซ่บดังที่เคยบันทึกไว้ก็ตาม)

ถึงแม้หนุ่มเบอร์ลินจะไม่ได้ประทับใจฉันไปเสียทุกคน แต่เมื่อนึกถึงสัดส่วนของความต้องตาต้องใจแล้ว บอกได้คำเดียวว่านำโด่งหนุ่มๆ ย่านอื่น

เสียอย่างเดียว… อย่าเจอหลัง 4 ทุ่มนะ เมาหมดแล้วทุกคน (เศร้า)

เมื่อพูดถึงรูปกายภายนอก หนุ่มเบอร์ลินส่วนใหญ่จะแต่งกายสุภาพเรียบร้อย แอบช่างแต่งตัวนิดๆ อย่างบอกไม่ถูก เรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์ ไม่จัดจ้านแต่แอบมีกิมมิค อาทิ ในบรรดาเสื้อผ้าและกางเกงยีนส์ เสื้อตัวในจะมีสีสัน แหวกออกมาจากตัวนอกที่สีพื้นเรียบๆ ทึมๆ หรือจะพวกสร้อย กำไล ที่ดูไม่รกจนเกินไปนัก นอกจากนี้ทรงผมแฟชั่นก็มีให้เห็นทั่วไป เพียงแต่ไม่ได้พิสดารมากจนเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารหรือหนังการ์ตูน ถ้าจะให้พูด… ฉันเดาว่าหนุ่มเบอร์ลินที่ฉันสะดุดตาส่วนใหญ่เป็นคนสนใจเรื่องรูปลักษณ์ตัวเอง แต่ก็ไม่แต่งให้เกินหน้าเกินตาผู้หญิง เพราะสาวๆ เยอรมันไม่ค่อยจะแต่งตัวกันจริงๆ (แต่เวลาช็อปปิ้งก็เห็นรักสวยรักงาม เดินไปดูของเก๋ๆ น่ารักๆ กันเยอะมาก… แต่ไม่หยิบ การแต่งกายที่ดูสวยที่สุดสำหรับสาวเยอรมัน เห็นจะเป็นการใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันแล้วกระมัง… ซึ่งมันไม่ใช่ อยากให้ผู้หญิงแต่งตัวมีดีเทลอย่างผู้ชายเมืองนี้บ้างจัง)

ย่อหน้าที่แล้ว เป็นภาพรวม จริงๆ หนุ่มเบอร์ลินแต่งตัวเห่ย หรือสาวเบอร์ลินแต่งตัวสวยก็มี แต่สัดส่วนโดยความรู้สึกเป็นอย่างนั้น และเมื่อเห็นสาวฝรั่งแต่งตัวสวยทีไร สุดท้ายก็ไม่ใช่ชาวเยอรมันทุกที

เน้น… เบอร์ลินเท่านั้น ที่อื่นในเยอรมนีไม่คอนเฟิร์ม โดยเฉพาะมิวนิค… จะไม่พูดถึงการแต่งตัวของคนที่นั่นเด็ดขาด #เฟลมาก

อย่างไรก็ดี สไตล์ที่ชวนมองเหล่านี้ มีให้เห็นแต่ในวัยหนุ่มสาวเท่านั้น พอกลายเป็นลุงแล้วก็ไม่แคล้วเหมือนกันหมด… ทุกประเทศ… จริงๆ… นะเออ… #เฮ้อยาวๆ

หนุ่มสาวเบอร์ลินที่แต่งตัวเก๋ไก๋ ฉันพบบ่อยมากที่สถานี Hermannplatz อดแปลกใจไม่ได้ว่าสถานีนี้มีอะไร ทำไมจึงมีคนแต่งตัวกันเฟี้ยวเงาะประหนึ่งมีสถาบันออกแบบแฟชั่นอยู่ด้านบน บางวันสงสัยถึงขั้นอยากเดินออกไปสำรวจให้แน่ใจ

แต่ก็ไม่ได้ทำ

กระนั้นมีวันหนึ่งฉันต้องต่อรถที่สถานีนี้ เมื่อขึ้นไปดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรสันนิษฐานได้ว่าเป็นแหล่งความชิคเหล่านั้น

IMG_6830
สถานี U Hermannplatz ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่า แค่เอามาแปะแก้เบื่อ สถานีอะไรจะเหลืองไปหมดได้ขนาดนี้

จบเรื่องรูปร่างหน้าตา มาดูสิ่งที่ชวนมองมากกว่ารูปกายภายนอกกันดีกว่า…

เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันอมยิ้มได้ทุกวันเวลาออกนอกบ้าน

เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าสาวเยอรมันแกร่งดุจหินผา จึงไม่ค่อยแปลกใจที่จะเห็นหนุ่มๆ ปล่อยให้สาวๆ ยืนบนรถไฟฟ้า หรือเฉยๆ เมื่อเห็นสาวๆ กำลังใช้แรงงานทำอะไรสักอย่างที่ไม่หนักหนานัก (แต่ถ้าดูลำบากมาก หนุ่มๆ เขาก็เข้าไปช่วยทันทีโดยไม่รีรอ)

ผลบุญอันนี้จึงส่งผลดีต่อสาวเอเชียร่างเล็กอย่างฉัน ซึ่งไปไหน ทำอะไรก็คงดูเหมือนลำบากลำบนไปหมด โดยไม่ต้องสำออย จึงทำให้มีหนุ่มเยอรมันเข้ามาอาสาช่วยตลอด (ที่เขาลือกันว่าสาวเยอรมันไม่ค่อยชอบสาวไทยเพราะไปแย่งหนุ่มๆ บ้านเขาอาจจะจริงก็ได้… ฉันอดคิดไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้)

ฉันเชื่ออย่างหนึ่งว่า แม้ในประเทศที่ค่อนข้างมีความเท่าเทียมกันทางเพศในทางทฤษฏีอย่างเยอรมนี ผู้ชายยังยินดีให้ความช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ… หรือดูอ่อนแอกว่า ขอเพียงมีโอกาสที่เห็นได้ชัดอยู่ตรงหน้า จริงๆ แล้วเขาคงไม่ได้แบ่งแยกว่าหญิงหรือชาย แต่ในฐานะมนุษย์ หากมีโอกาสช่วยใครได้ก็ทำ ในขณะที่ฉันอายแทนผู้ชายในแถบเอเชียจริงๆ ที่ยกความเสมอภาคที่ผู้หญิงเรียกร้องมาเป็นข้ออ้างในการใจดำต่อเพศตรงข้าม

กระนั้น ฉันก็ไม่ได้หวังให้ผู้ชายมามีน้ำใจต่อฉันหรอกนะ ยิ่งฉันยังไม่แก่ ยังไม่ท้อง ไม่ได้เรียกร้องให้ใครมาสละเก้าอี้ให้ไม่ว่าจะเทศหรือไทย ฉันคิดว่าถ้าผู้หญิงวัยทำงานที่ยังมีเรี่ยวแรงแข็งขันและไม่ได้ถือของมากจนน่าเห็นใจ ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องให้ผู้ชายเสียสละให้ (เว้นแต่ชายคนนั้นอยากจีบเธอ คริๆๆๆ)  ตรงกันข้าม ฉันเป็นผู้หญิงก็จริง แต่เวลาเห็นผู้ชายถือของพะรุงพะรังก็ช่วย ไม่ได้เกี่ยงว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ใครดูเดือดร้อนลำบากก็ช่วยได้ทั้งนั้น ไม่ได้เอาเพศมาปิดกั้นเหมือนที่ผู้ชายบางคนกระทำ

แต่มันอดเปรียบเทียบไม่ได้ และการเห็นผู้ชายชาวตะวันตกซึ่งมาเมืองไทยแล้วต่างปลาบปลื้มความใจดีของคนไทยประหนึ่งหามิได้ในบ้านเขา กลับมีน้ำใจกว่าผู้ชายบ้านเรา มันก็แค่เซอร์ไพรส์อย่างหนักจริงๆ

อย่างเช่นบนรถไฟ ถ้ามีคนถือของหนักพะรุงหะรัง (ที่ไม่ใช่กระเป๋าเดินทางแบบลาก) ผู้ชายที่นั่งใกล้สุดจะสละที่นั่ง (ถ้าเขาไม่ได้จูงหมา… แต่ลุกให้นั่งทั้งที่จูงหมาก็เคยเห็นนะ น้องหมาถึงกับงง นึกว่าเจ้านายจะลงแล้ว)

ในขณะที่บนรถไฟในกรุงเทพ พอผู้ชายได้นั่ง จะเข้าสู่โลกส่วนตัวทันที ไม่ว่าจะอินเตอร์เน็ตหรือเล่นเกม กลายเป็นผู้หญิงต้องสละที่ให้กันเองเวลาเจอคนท้อง เด็ก หรือคนชรา เดี๋ยวนี้เวลาเห็นผู้ชายไทยลุกขึ้นให้ใครนั่งที ฉันแทบจะยกมือไหว้ หรือแอบคิดในใจว่าพ่อเทพบุตรลงมาจุติโดยแท้

(แต่ถ้าเป็นรถเมล์ฉันจะไม่ค่อยประนามเท่าไหร่นะ รถมันติด อากาศร้อน ผู้ชายก็เหนื่อยเป็น ยิ่งถ้าเป็นตอนเย็นๆ ฉันเข้าใจ แต่รถไฟฟ้ามันติดแอร์ รถไม่ติด ระยะสั้น เลยรู้สึกว่าการเสียสละมันเป็นบรรยากาศที่น่ารักแบบไทยๆ… ไม่มีซะแระ)

อย่างหนึ่งที่ฉันสังเกตเห็นคือ หนุ่มๆ ในเบอร์ลินก้มหน้าเล่นมือถือบนรถไฟกันน้อยมาก เทียบกับเมืองไทยแล้ว ถือว่าน้อยมากจริงๆ (ตรงกันข้ามผู้หญิงแอบเยอะแฮะ หนักไปทางแช็ต… มือเป็นระวิงเลย)

นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ฉันได้เห็นน้ำใจของหนุ่มเบอร์ลินได้ทุกวันที่ออกจากบ้าน

อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้โลกสวยปลื้มหนุ่มเบอร์ลินทุกคนหรอกนะ แต่ฉันเองก็แปลกใจที่ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ได้เห็นความมีน้ำใจของผู้ชายที่นี่ไม่มีขาดจริงๆ และมาจากหลากหลายที่ที่ฉันได้ไป (เพื่อนในเฟสบุ๊คจะเห็นสเตตัสปลื้มปริ่มหนุ่มเบอร์ลินของฉันในเวลานั้นอยู่บ่อยๆ)

หนุ่มเบอร์ลิน ไม่ค่อยได้มีน้ำใจกับสาวๆ หรอก แถมคนท้องที่นี่ก็น้อยจนวัดค่าความมีน้ำใจไม่ได้ ยิ่งเด็กนี่ ไม่ค่อยเห็นเลยนะ เป็นประเทศที่เด็กน้อยจริงๆ ที่แน่ๆ เขามีน้ำใจให้คนแก่ทั้งหญิงและชาย และอ่อนโยนมากด้วย

คนที่ฉันจำได้แม่นๆ มีอยู่ไม่กี่คน (ที่จำได้เพราะมีเอกลักษณ์บางอย่าง)

วันที่ฉันโดยสารรถบัสไป ZOB เพื่อไปไลป์ซิก ระหว่างทางมีชายหนุ่มแต่งกายสไตล์พังค์ขึ้นมา ผมทอง ไถข้างด้านหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นแต่งหน้า ดูตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วคิดว่าคงต้องมีไม่ต่ำกว่า 3 วันในหนึ่งสัปดาห์ที่พ่อคุณแต่งตัวแบบจัดเต็มอย่างแน่นอน

ด้วยบุคลิกแรงๆ แบบนั้น ทำให้ไม่คิดว่าจริงๆ จะอ่อนโยน

มีคุณยายคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนรถ คุณยายตัวเล็กๆ อ้วนๆ เดินอุ้ยอ้ายตั้งใจจะมานั่งตรงเบาะพับได้ข้างประตูซึ่งยังว่างอยู่ แต่คุณยายดึงเบาะลงเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จเสียที

พ่อหนุ่มคนนี้หันมามองพอดี รีบเข้าไปช่วยคุณยาย เขาดึงเบาะพับลงมา และไม่ใช่แค่นั้น ประคองคุณยายนั่ง แถมยังยิ้มให้คุณยาย ยิ้มสวยมากกกกก

#หล่อออออ… ตอนเธอยิ้มให้คุณยาย โลกนี้เป็นประกายเจิดจ้าสว่างไสวในบัดดล

ตอนแรกฉันนึกว่าฉันเห็นเขาหล่อเพียงเพราะมีน้ำใจ ตามปกติที่ฉันเห็นผู้ชายทั่วไปมีน้ำใจแล้วหล่อ แต่พอเขาลงจากรถ ฉันได้เห็นหน้าเขาชัดๆ อีกครั้ง

#จะเป็นลม #หล่อจริงๆ ด้วย #หล่อมากกกก

 

หนุ่มอีกคนที่ฉันจำได้

ตอนนั้นฉันนั่งรถไฟสาย U1 น่าจะเป็นสถานี U Kottbusser Tor

ขณะเดินขึ้นบันไดเลื่อนซึ่งไม่ทำงานนั้น มีคุณยายคนหนึ่งพยายามก้าวขาอันสั่นเทาขึ้นไปด้วยความลำบาก ขั้นบันไดเลื่อนก็สูงชันกว่าบันไดธรรมดา คุณยายส่งเสียงอย่างทรมานทุกก้าว ทางบันไดก็แคบ คนที่ต่อหลังคุณยายเดินผ่านด้านข้างคุณยายแซงขึ้นไปกันหมด

จนกระทั่งฉันไปถึงด้านหลังคุณยาย

อันที่จริงฉันก็ไม่ได้รีบอะไร อยากช่วยคุณยายอยู่เหมือนกัน แต่คนที่ต่อหลังมาเยอะมาก ถ้าฉันประคองยายต้องอุดทางเดินคนอื่นแน่

จึงตัดสินใจรีบเดินผ่านคุณยายมาก่อน แต่ด้วยความเป็นห่วง พอพ้นบันไดเลื่อนก็แอบยืนส่องรอจังหวะคนโล่งๆ

แต่ทันใดนั้น ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านคุณยายขึ้นมา

มีชายหนุ่มอีกคนยืนรอด้านหลังคุณยายให้คนเดินขึ้นไปให้หมด จากนั้นก็ช่วยประคองคุณยายจนถึงขั้นบนสุด… อย่างใจเย็นมากๆ

ใจหนึ่งโล่งอกเพราะถ้าฉันไปประคองเองอาจไม่ไหว เพราะคุณยายดูตัวใหญ่เป็นสองเท่าของฉัน (ในแนวนอน) และที่ก้าวขึ้นบันไดไม่ไหวคงเพราะหัวเข่าไม่ดี ซึ่งฉันก็คงได้แต่ประคอง แต่ยกตัวยายเวลาขึ้นบันไดไม่ได้อยู่ดี (แต่อยากช่วย)

อีกใจหนึ่ง… ผู้ชายคนนี้หล่อจัง มีน้ำใจกับคนแก่มากๆ (ถ้าไม่ช่วยคุณยาย คุณหนวดคนนี้จะหน้าตาธรรมดาๆ มาก หล่อเพราะความดีล้วนๆ)

จนกระทั่งคุณยายมาถึงขั้นบนสุด อีหลานชายที่มาด้วยกันกับคุณยายโผล่มาจากไหนไม่ทราบ เดินอาดๆ เข้ามาแล้วพูดเสียงดังใส่คุณยาย (แต่ไม่ใช่ภาษาเยอรมันนะ)

หนุ่มคนนั้นส่งยายให้หลาน ก่อนแยกตัวออกไปยืนรอรถโดยไม่ได้สนใจว่าสองยายหลานจะขอบคุณตนหรือไม่ เหมือนการช่วยเหลือคุณยายเป็นเรื่องปกติธรรมดา (ฉันก็ไม่เห็นพวกคุณยายหันมาขอบคุณหรือแสดงท่าทางอยากขอบคุณหนุ่มคนนั้นเลยซักนิดนะ มีแต่ฉันยืนส่งเสียงขอบคุณในใจทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับยายหลานคู่นั้นเลย… ขอบคุณที่ทำให้ฉันเห็นสิ่งดีๆ ในโลกนี้ และขอบคุณที่ทำให้ฉันมีความสุข #น้ำตาจิไหล)

ฉันหมั่นไส้อีหลานชายของคุณยายมาก คุณยายตัวเอง ไม่ยอมช่วยเหลือ ปล่อยให้คนอื่นมาช่วย แล้วอีหลานก็เดินเม้าท์ภาษาอะไรไม่รู้กับคุณยายเสียงดัง แต่ทิ้งระยะห่างกับคุณยายมาก ถ้าให้เดา คุณยายนี่อาจเลี้ยงหลานแบบตามใจเป็นคุณชายก็ได้ หลานถึงได้กร่างใส่ขนาดนี้ (ฉันก็เดามั่วๆ ไปเรื่อย)

 

นอกจากนี้ ภาพหนุ่มเบอร์ลินสละที่ให้คนแก่นั่ง ช่วยคนแก่ยกของ หรือคอยดูแลคนแก่ที่ร่วมทางอยู่ห่างๆ ยังมีให้เห็นบ่อยมาก จนฉันคิดว่าบางทีคนที่นั่นอาจผูกพันกับเจเนอเรชั่นคุณตาคุณยายยิ่งกว่าคนเอเชียก็ได้

หรือถ้าหาความยุติธรรมให้กับหนุ่มกรุงเทพล่ะก็ อาจเป็นเพราะความรู้สึกแก่งแย่งแข่งขันในเบอร์ลินนั้นต่ำกว่าประเทศอื่นๆ เพราะรถไฟก็ไม่แน่น รถบัสก็ไม่เบียดเป็นปลากระป๋อง ทุกอย่างตรงตามเวลา (ถ้าฝนหรือหิมะไม่ตก) คนก็เลยมีความรู้สึกสบายๆ จนสามารถแบ่งปันความสุขสบายส่วนหนึ่งของตนเองให้คนอื่นได้

ฉันมาคิดๆ ดูที่หนุ่มๆ (รวมถึงสาวๆ) ในเบอร์ลินมีน้ำใจต่อบรรดาคุณตาคุณยาย สันนิษฐานว่าเพราะพวกเขาได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์รุ่นคุณตาคุณยายของประเทศเขาว่ามันสาหัสมากแค่ไหน อีกทั้งภาษีจากคนรุ่นปู่ย่าตายายมหาศาลที่นำมาฟื้นฟูพัฒนาประเทศจนรุ่นพวกเขามีความสะดวกสบายพร้อมกว่าหลายๆ ประเทศ ฉันเดาเอาเองว่าเป็นอย่างนั้น เพราะคนเยอรมันเรียนประวัติศาสตร์ด้านลบของชาติตัวเองอย่างตรงไปตรงมา และค่อนข้างถ่อมตัว

ฉันคิดว่าประเทศเขาแข็งนอก อ่อนใน คนเยอรมันดูทื่อๆ หน้านิ่ง เหมือนหยิ่ง แต่พอฉันยิ้มให้ทีไร ก็เห็นเป็นมิตรไม่มีอะไรแตกต่างจากคนชาติอื่นเลยสักนิด เผลอๆ ถ้าได้คุยกันจะใจดีกว่าเสียอีก บางทีเขาอาจจะรอโอกาสแสดงความความอ่อนโยนอย่างสมเหตุสมผลอยู่ก็ได้ และฉันเองก็ประทับใจความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงหลังถูกกะเทาะเปลือกแบบนั้น

 

แถม… อีกอย่างที่เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ฉันประทับใจมากก็คือ คนเปิดประตูให้กัน

ประตูเข้าออกอาคารที่เยอรมนีหนักได้โหดมาก ไม่รู้จะต้องสร้างให้หนักอะไรขนาดนั้น ต่อให้อ้างว่าภูมิภาคนี้ลมแรงก็เถอะ

แต่คนที่ใช้ประตูก่อนหน้า ถ้ามีคนตามหลังจะเปิดประตูค้างไว้ให้เสมอ

มารยาทของคนเข้าทีหลังก็คือ “จงเอามือค้ำประตูไว้ ให้คนข้างหน้าสามารถเข้าอาคารไปได้อย่างสบายใจ และที่สำคัญ อย่าลืมขอบคุณไล่หลังไปด้วย เพราะถือว่าเขาสละแรงผลักประตูให้เรา” ไม่ใช่เดินผ่านประตูไปเฉยเลย ปล่อยให้คนมีน้ำใจกลายเป็นพนักงานเปิดประตู มันน่าเกลียดมาก

ถ้าใครทำพฤติกรรมนี้ในเมืองไทยแล้วคิดว่า “ชั้นไฮโซ ชั้นเริ่ด ชั้นเชิด” แล้วมาอ้างว่าตัวเองจบนอกล่ะก็ บอกเลยว่า “ทอ-แหล” เพราะเมืองนอกคนเขารักษามารยาทแบบนี้กันจนเป็นนิสัย ยิ่งประเทศที่ศิวิไลซ์ก็เห็นน้ำใจคนแบบนี้เป็นเรื่องปกติจนเหมือนเป็นธรรมเนียม แม้แต่คนที่แต่งตัวซอมซ่อยังไง ก็ยังไม่เคยปล่อยให้ฉันกลายเป็นพนักงานเปิดประตูเลย เว้นแต่คนตามหลังมาจะถือของหนัก ลากกระเป๋า เข็นรถเข็น หรือมีเด็กมาด้วย นอกจากนี้ก็ไม่เคยมีใครปล่อยประตูปิดใส่หน้าฉันด้วย (กรณีหลังนี่เคยโดนแต่ในเมืองไทยนี่แหละ บ่อยมาก)

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.