ขอเรียกเอ็นทรีนี้ว่า Dresden เวอร์ชั่นฟ้าครึ้ม
ช่วงเช้า แดดไม่เป็นใจ เลยได้มาแต่ภาพสีหม่น #กระซิกๆ
ว่าแล้วก็… สาดรูป
Frauenkirche คือ โบสถ์พระแม่มารีนั่นเอง ฉันไม่ใช่คริสเตียน ตอนมายุโรปแรกๆ ก็จะสังเกตเห็นว่าไปที่ไหนก็เจอแต่ Frauenkirche ตามเมืองใหญ่ๆ เนื่องจาก Frau แปลว่าผู้หญิง ฉันเลยเข้าใจเอาเองว่าเป็นโบสถ์ที่มีแต่แม่ชี หรือเป็นคอนแวนต์รึเปล่า แต่จริงๆ แล้วการตั้งชื่อโบสถ์ที่นี่จะไม่เหมือนวัดไทยที่มีชื่อของใครของมันค่ะ Frauenkirche แปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ Church of Our Lady หรือโบสถ์ที่สร้างอุทิศให้แด่พระแม่มารีนั่นเอง
ส่วน Kreuzkirche ที่เจอไปเมื่อเอ็นทรีที่แล้ว ก็ Church of Holy Cross ซึ่ง Kreuz แปลว่าไม้กางเขน
ทีนี้คงเดากันได้ใช่ไหมคะว่า Kirche ต้องแปลว่าโบสถ์แน่ๆ 555
*** แต่ Kirsche แปลว่าเชอร์รี่นะคะ ออกเสียงเกือบคล้ายกัน ฉันเองก็เผลอพิมพ์ผิดอยู่บ่อยๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ 555
ดังนั้น เวลาเห็นชื่ออื่นแปลกๆ หน้าคำว่า Kirche ก็เดาได้เลยว่า น่าจะเป็นชื่อนักบุญที่ได้รับการสร้างโบสถ์อุทิศให้
ยุโรปตะวันออก รวมถึงสแกนดิเนเวีย มีศัพท์คำว่าโบสถ์คล้ายๆ กัน พอได้ภาษาเยอรมันแล้ว เวลาเที่ยวแถบนี้ ก็พอจะเดาสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นภาษาถิ่นได้บ้างค่ะ ผิดบ้าง ถูกบ้าง สนุกดี เวลาเที่ยวกับเพื่อนก็มีฮา แต่เวลาอยู่คนเดียวนี่หัวหมุนติ้วๆๆๆ รสชาติกลมกล่อมของชีวิต yummy!
จริงๆ ในโบสถ์ Frauenkirche สวยงามมากค่ะ ภายในตกแต่งในสไตล์บาโรค วิจิตรงดงามมาก แต่น่าเสียดายที่ห้ามถ่ายรูป เลยไม่ถ่าย แต่คนอื่นแอบถ่ายกันตรึมเลย บางคนแย่มากใช้แฟลตด้วย มาที่ของเขา เอาแต่ตักตวง ระวังต้องชดใช้โดยไม่รู้ตัวนะคะ หึหึหึ
สะพานตรงนี้ จริงๆ แล้วเป็นระเบียงยาวเลียบแม่น้ำค่ะ เรียกว่า Brühlsche Terrasse (ฺBrühl’s Terrace <<< จะเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษทำไมในเมื่อยังมีอุมเลาท์อยู่ -_-“) มีชื่อเล่นว่า ระเบียงแห่งยุโรป ตรงนี้แหละ เห็นวิวแม่น้ำ Elbe สวยมากๆ
ที่พื้นรอบๆ ของประติมากรรมดาวเคราะห์ มีสัญลักษณ์ของดาวเคราะห์ และมีคำอธิบายลักษณะของดาวเคราะห์นั้นๆ… แต่เท่าที่อ่านด้วยทักษะภาษาเยอรมันอันง่อยๆ ของตัวเอง คิดว่าเป็นการบรรยายเชิงเสียสีประชดประชันมากกว่าแฮะ
* ใบ้ให้ว่าถ้าใครมีโอกาสได้ไป เดินหาเด็กผู้หญิงบนภาพวาดนี้นะคะ เพราะเธอเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในขบวน
ฟ้าก็ครึ้ม หนาวก็หนาว บรรยากาศไม่เป็นใจให้ถ่ายรูปเท่าไหร่ แถมตกบ่ายแล้วด้วย
พวกเราก็เลยย้อนกลับไปยังร้านอาหารค่ะ… สูบพลังงานให้ร่างกายอุ่นก่อน แล้วค่อยสำรวจเมืองต่อ
ร้านที่เราไปนั่งคือร้านชื่อ Edelweiss ค่ะ จริงๆ แล้วเป็นร้านอาหารสวิส (เหมือนจะมีหลายสาขา) แต่ไม่รู้ล่ะ เข้าไปนั่งแล้ว กิกิ
ร้านค่อนข้างใหญ่นะคะ มีโซนร้านอาหารกับเบเกอรี่
เราเลยสั่งอาหารพื้นเมืองของสวิสกัน Flammkuchen (ภาษาเยอรมัน) หรือ Tarte flambée (น่าจะภาษาฝรั่งเศษ)
ถ้าให้อธิบายก็คือ… มันจะคล้ายๆ พิซซ่าแบบโฮมเมดสไตล์บางกรอบนั่นเอง
มาแบบแผ่นใหญ่มากค่ะ ขนาดประมาณพิซซ่าถาดกลางได้มั้ง แต่เพราะแป้งไม่หนา เลยงาบคนเดียวได้หมด (แต่กว่าจะหมดก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ ค่อยๆ ละเลียดไปค่ะ)
ที่จริงในซอย Münzgasse ใกล้ๆ กับร้านนี้มี Bratwurst (ไส้กรอกย่าง) ตั้งเป็น Imbiss ขายด้วยนะ ราคาไม่แพงเลย แต่ด้วยความหนาว เราเลยยอมจ่ายเงินเยอะหน่อยนั่งในที่อุ่นๆ กะว่าไปเดินเที่ยวเสร็จแล้วจะกลับมาซื้อไส้กรอกเดินกินระหว่างทางกลับสถานี แต่ปรากฏว่าไม่ได้กลับทางเดิมค่ะ เหอๆๆๆ อด